พบกับเรื่องราวของ เกร็ก ฮาร์ดี อดีตตัวรับของ ดัลลาส คาวบอยส์ ทีมอเมริกันฟุตบอลชื่อดังของเมืองมะกัน ที่ชีวิตผกผันหันมาเอาดีทางด้านการต่อสู้ในสังเวียน 8 เหลี่ยมชื่อก้องโลกอย่างศึก UFC
อะไรที่เป็นแรงจูงใจให้เจ้าของฉายา “The Prince of War” เบนเข็มจากกีฬาประเภททีมในศึกคนชนคน มาสู่การดวลเดี่ยวในลูกกรงเหล็ก และความแตกต่างในมุมมองของนักสู้วัย 32 ปีเป็นอย่างไร? UFC จะพามาพูดคุยกับนักสู้ไซส์ยักษ์รายนี้กัน
UFC : สมัยเรียนมหาวิทยาลัย คุณเป็นนักบาสเกตบอล นักกีฬากรีฑา แต่ทำไมคุณถึงหันมาเอาดีทางด้านอเมริกันฟุตบอล?
เกร็ก ฮาร์ดี : ผมเล่นบาสเกตบอลและอเมริกันฟุตบอลบ่อยมากตอนเรียนมหาวิทยาลัย ผมมีช่วงเวลาที่ดีที่มิสซิสซิปปี ผมได้รับรางวัลผู้เล่นหน้าใหม่ยอดเยี่ยมของ All-American ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่ผมคิดว่าจะเอาดีทางด้านการเล่นอเมริกันฟุตบอล
UFC : ช่วงเวลาในความทรงจำในศึก NFL ของคุณคือตอนไหน และตอนนี้คุณกลายเป็นนักสู้ในสังเวียน UFC ไปแล้ว คุณคิดอย่างไรเมื่อมองย้อนกลับไปในตอนนั้น?
เกร็ก ฮาร์ดี : ความทรงจำที่ดีที่สุดในการเล่นอเมริกันฟุตบอลคือ การได้ผจญภัยไปกับเพื่อนร่วมทีมและแก๊งค์ของผม ช่วงเวลาในห้องล็อกเกอร์นั้นช่างน่าอัศจรรย์ ส่วนเรื่องที่ยากลำบากก็คือ เรื่องอาการบาดเจ็บ มันเป็นช่วงเวลาที่แย่ที่สุดของชีวิตผม ผมเคยซี่โครงหัก เลือดอาบหน้า นิ้วหัก อย่างไรก็ตาม การได้ไปลุยกับเพื่อนๆ มันสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผมมาก และผมคิดว่านั่นคือความทรงจำที่ดีที่สุดในการเล่นอเมริกันฟุตบอล ไม่ว่าจะเป็น ดัลลาส คาวบอยส์ หรือกับ คาโลไรนา แพนเทอร์ส การติดทีม Pro Bowl เป็นอะไรที่สุดยอดมาก ผมได้เล่นกับผู้เล่นระดับตำนานมากมาย ผมเพียงแค่ลงไปวิ่งและสนุกไปกับมัน เราได้ค่าเหนื่อยและได้ไปฮาวายด้วย ผมต้องใส่ชุดสีส้มเขียว เหมือนกับเด็กน้อยในร้านขนมเลย ฮ่าๆๆ
UFC : คุณก้าวเข้าสู่วงการการต่อสู้ โดยที่ไร้ซึ่งประสบการณ์ อะไรที่ทำให้ เกร็ก ฮาร์ดี ตัดสินใจแบบนั้น?
เกร็ก ฮาร์ดี : สำหรับผมมันคือเกมกีฬา และผมก็เป็นพวกคลั่งกีฬาอยู่แล้ว มันคือการแข่งขัน การพัฒนาตัวเอง ในตอนนั้น ผมก็กำลังมองหาทีมบาสเกตบอลในต่างแดน เพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ แต่สุดท้ายผมเลือกกีฬาการต่อสู้ MMA ผมชอบ บาสเก็ตบอล, MMA และ เบสบอล เป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งหากเทียบกันแล้ว MMA ถือเป็นสุดยอดของกีฬาลูกผู้ชาย เพื่อพิสูจน์ความยิ่งใหญ่และเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
UFC : คุณใช้เวลานานแค่ไหนในการปรับตัว?
เกร็ก ฮาร์ดี : ทุกวันนี้ผมยังคงต้องปรับตัวอยู่เลย ผมต้องใช้เวลากับมันสักระยะ มันยากนะ กีฬา MMA ผมคิดว่ามันทำให้แฟนได้ใกล้ชิดกับนักกีฬาได้มากกว่าอเมริกันฟุตบอลนะ สิ่งแวดล้อมทุกอย่างมันแตกต่างกันค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเวลาขึ้นสังเวียนแข่งขันจริง ไฟต์แรกของผมมันทำเอาหัวใจแทบหยุดเต้น มันเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี ผมไม่ได้รู้สึกแบบนั้นมานานแล้ว โดยทั่วไปแล้ว ผมยังคงเรียนรู้ ผมยังต้องปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอ และผมเชื่อว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมยังไม่ได้ลอง ทุกๆการต่อสู้ของผมมันคือการลองสิ่งใหม่ๆ มันวิเศษสำหรับผมมากๆ
UFC : ในมุมมองของคุณ ความยากและความแตกต่างระหว่าง NFL กับ MMA เป็นอย่างไร?
เกร็ก ฮาร์ดี : ผมคิดว่าศึกอเมริกันฟุตบอล NFL นั้นยากกว่าในแง่ของการแข่งขัน เพราะมันคือการทำงานเป็นทีม แต่ UFC นั้นยากกว่า 100 เท่าในการเอาชีวิตรอด และทำให้มันสำเร็จ การเป็นนักสู้ MMA คุณจะต้องทำงานหนักกว่าการเป็นนักอเมริกันฟุตบอลแบบเทียบไม่ได้ ความแตกต่างคือการระยะเวลาการแข่งขัน ฟุตบอลบางเกมอาจกินเวลาถึง 3 ชั่วโมงต่อเกม เราใช้เวลาทั้งวันกับการฝึกซ้อม การประชุมทีม มันจึงเป็นสองอย่างที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าคุณกำลังพูดถึงด้านไหนมากกว่า
UFC : เทคนิคอะไรในสนามฟุตบอลที่คุณจะนำมาใช้ในสังเวียน MMA?
เกร็ก ฮาร์ดี : ผมเป็นพวกสายสปีด ใช้ความเร็ว วิ่งๆ และทำลายคู่แข่งให้เละ นั่นคือเครื่องหมายการค้าของผม เป้าหมายของผมคือ เล่นงานควอเตอร์แบ็กของคู่แข่งให้ได้ ฮ่าๆๆ
UFC : ผลงานของของในฐานะนักสู้หน้าใหม่ในศึก UFC ถือว่าน่าประทับใจ คุณมองเห็นตัวเองในอนาคตอย่างไรกับอาชีพนี้ และเป้าหมายของคุณคืออะไร?
เกร็ก ฮาร์ดี : พูดตามตรง ผมยังมองว่าตัวเองเป็นนักสู้หน้าใหม่ในกีฬานี้ การต่อสู้เหล่านี้เป็นเพียงองค์ประกอบเพื่อต่อยอดให้กับผม เพื่อที่จะพัฒนาตัวเองขึ้นไปอีก ตอนนี้ผมได้ลองของเจ๋งๆ ผมไม่ได้กังวลเมื่อเข้าไปในกรง ผมไม่ได้คิดว่าจะน็อกคู่แข่งยังไง ผมแค่สนุกไปกับมัน ไม่เครียด และพยายามทำให้ตัวเองเป็นนักกีฬาที่ดีให้ได้ หลังจากนี้อีกสัก 2-3 ไฟต์ ผมเชื่อว่าการต่อสู้ของผมจะเข้มข้นขึ้น ผมอยากจะหาคู่ต่อกรในระดับหัวแถวมาพบกับผม ตามสไตล์ของ เกร็ก ฮาร์ดี
UFC : คุณจะตัองขึ้นสังเวียนพบกับ ไต ตุยวาซา ในวันอาทิตย์นี้ ความพร้อมและสภาพร่างกายขคุณเป็นอย่างไรบ้าง?
เกร็ก ฮาร์ดี : ผมเป็นนักกีฬาน้ำหนักมากกว่า 300 ปอนด์ สิ่งเดียวที่ต้องกังวลคือการลดน้ำหนัก ผมมีการเตรียมตัวที่ยอดเยี่ยม ตอนนี้ผมแค่ต้องลดน้ำหนักและรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ตอนนี้ผมคิดว่าเขาคือควอเตอร์แบ็กที่ผมจะต้องบดขยี้
UFC : คุณมีอะไรอยากจะบอกกับคู่แข่งของคุณ และคิดว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะเป็นอย่างไร?
เกร็ก ฮาร์ดี : ผมตื่นเต้น เขาเต็มเปี่ยมไปด้วยเลือดนักสู้ เขาเป็นผู้ชายที่น่าสนใจ เขาชื่นชอบการต่อสู้ภาคพื้น ซึ่งนั่นก็เป็นสไตล์ของผมเช่นกัน ผมแค่ทำให้เขาตกเลือด ผมคิดว่าผมสามารถจัดการเขาได้ ผมจะไม่ให้โอกาสเขาทำอย่างอื่น ผมจะเข้าไปลุยอย่างรวดเร็ว และผมแน่ใจว่าเขาจะพยายามทำเช่นเดียวกัน แค่คิดก็ขนลุกแล้ว! ผมตื่นเต้นมากๆ
UFC : เราทราบมาว่าคุณเคยประสบอุบัติเหตุร้ายแรงทางรถยนต์ ประสบการณ์เฉียดตายครั้งนั้นเป็นอย่างไร และอะไรคือแรงบันดาลใจที่ทำให้คุณกลับมาสู้อีกครั้ง?
เกร็ก ฮาร์ดี : ผมจะเริ่มต้นด้วยแรงจูงใจ ผมหลงรักการแข่งขัน ผมรักมัน ความรู้สึกที่ผมได้รับเวลาแข่งขัน คือรู้ว่าต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด คู่แข่งก็ต้องดิ้นรนเช่นเดียวกับผม ไม่ว่าจะเป็นกีฬาอะไรก็ตาม ความรู้สึกของการต่อสู้เพื่อชัยชนะ มันช่างน่าทึ่ง และนั่นเป็นแรงจูงใจของผม ตอนที่ผมเจ็บหนักและกำลังทำกายภาพบำบัด เพื่อนร่วมทีมของผมก็ทำงานกันอย่างหนัก พวกเขาต้องการผม ผมต้องกลับมาให้ได้ อุบัติเหตุครั้งนั้นมันแย่มาก ผมชนท้ายรถบรรทุก ผมอาการหนักมาก ทีมแพทย์ต้องดัดแปลงรองเท้าสตั๊ดของผมเพื่อไม่ให้กดกับเส้นประสาท มันแย่จริงๆ แต่ผมก็ผ่านมันมาได้ ด้วยกำลังใจและการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมทีมของผม
UFC : ช่วยเล่าถึงที่มาของฉายา “The Prince of War” คุณได้ชื่อนี้มาอย่างไร?
เกร็ก ฮาร์ดี : มันมีเรื่องเล่า หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในอดีต ผมไม่ใช่คนเดิม ผมเปลี่ยนไปแล้ว ผมมีวิวัฒนาการ แต่ผมต้องการรักษาความรู้สึกที่ผมมี สิ่งที่ผมได้ทำและวิธีที่ผมได้แบกรับมาตลอดอาชีพการเป็นผู้เล่นอเมริกันฟุตบอลของผม ผมให้ความเคารพรักแฟนๆ และรักทีม ผมเป็นราชาแห่งความแปลกประหลาดมาโดยตลอด การที่ผมหันมาเอาดีทาง MMA ผู้คนมักคิดว่าผมอยากเป็นซูเปอร์สตาร์ชายเดี่ยว แต่ผมคิดว่าความคิดแบบนี้คือการไม่ให้เกียรติกัน ผมถูกตั้งฉายาเป็นเจ้าชาย ผมรับได้นะกับชื่อเล่นของผม ผมจะทำงานต่อไปไม่ว่าใครจะพูดอะไร ขณะเดียวกันก็ไม่มีใครสามารถมาบังคับอะไรผมได้ทั้งนั้น ใครจะเรียกผมว่าราชานู้นนี่นั่น ผมไม่สนใจ และผมก็ไม่จำเป็นต้องเรียกตัวเองว่าอะไรทั้งนั้น
สำหรับ เกร็ก ฮาร์ดี มีกำหนดการขึ้นสังเวียนในพิกัดรุ่นเฮฟวีเวตพบกับ ไต ตุยวาซา ในศึก UFC 264 :Poirier VS Mcgregor 3 ณ T-Mobile ARENA ลาส เวกัส สหรัฐอเมริกา ในวันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม นี้ โดยไฮไลท์เป็นการพบกันภาคที่ 3 ระหว่าง ดัสติน พัวร์ริเยร์ ตัวอันตรายชาวอเมริกัน ดีกรีรองแชมป์หมายเลข 1 ในรุ่นไลต์เวต จะเผชิญหน้ากับคู่ปรับเก่าอย่าง คอเนอร์ แม็คเกรเกอร์ นักสู้ชาวไอริช ดีกรีรองแชมป์หมายเลข 5