มวยไทย ถือเป็นศิลปะการต่อสู้ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแขนงหนึ่ง และกระจายตัวไปอยู่ทั่วทุกมุมโลก แม้ว่าในอดีต สังคมตะวันตกจะไม่ได้สนใจและรู้จักมวยไทยมากนัก

กระทั่งการออกไปโกอินเตอร์ของภาพยนตร์สัญชาติไทย ที่กวาดรายได้หลายร้อยล้านบาทในสหรัฐอเมริกาอย่าง องค์บาก และ ต้มยำกุ้ง ได้เปลี่ยนภาพจำใหม่ ๆ ของมวยไทย และกำเนิดดารานักบู๊คนใหม่แห่งโลกภาพยนตร์ นามว่า จา พนม (Tony Jaa)

จา พนม ทำให้คนโลกทึ่งกับความสามารถด้านการแสดงแอคชั่นที่นำเอาศิลปะการต่อสู้ประจำชาติเรา ลงไปใส่ในแผ่นฟิล์ม จนทำให้ชาวโลกต้องเปลี่ยนมุมมองและหันมารู้จัก มวยไทย มากขึ้น

ก้าวแรกจากองค์บาก

ภาพยนตร์เรื่องแรกที่ จา พนม สร้างชื่อในเมืองไทยและต่างประเทศ คือ “องค์บาก” ผลงานเปิดตัวของเขาออกฉายเมื่อ พ.ศ. 2546 เนื้อเรื่องเกี่ยวกับ “ทิ้ง” หนุ่มนักสู้จากหมู่บ้านแห่งหนึ่งทางภาคอีสาน เดินทางเข้าสู่เมืองหลวง เพื่อตามหาพระพุทธรูปประจำท้องถิ่นที่หายไป

องค์บาก ประสบความสำเร็จอย่างมากทั้งในแง่ของรายรับ โดยกวาดรายได้ที่เมืองไทย ราว 99 ล้านบาท และในต่างประเทศเกิน 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือมากกว่า 600 ล้านบาทไทย

ความโด่งดังของภาพยนตร์เรื่ององค์บากที่ไปไกลถึงต่างประเทศ คือสิ่งที่คนไทยหลายคนทราบดี ขนาด Netflix ยังเขียนบรรยายในเว็บไซต์ไว้ว่า “จา พนม นักสู้แม่ไม้มวยไทยชื่อดัง แจ้งเกิดไปทั่วโลกจากภาพยนตร์ยอดฮิตเรื่องนี้” 

แต่มีน้อยคนนักจะรู้ว่า เหตุผลที่องค์บากโด่งดังในไทย กับในต่างประเทศนั้น ไม่ใช่เหตุผลเดียวกัน …

ย้อนเวลากลับไปในช่วงที่ องค์บาก กำลังจะเข้าฉาย ทางบริษัทผู้สร้าง หรือ สหมงคลฟิล์ม ได้โปรโมตองค์บากด้วยประโยคที่กล่าวว่า “ไม่ใช้สลิง ไม่ใช้ตัวแสดงแทน” 

สร้างความฮือฮาเป็นอย่างมาก เพราะก่อนหน้าองค์บาก ไม่มีภาพยนตร์แอคชั่นสัญชาติไทยเรื่องไหน ที่กล้าชู การเล่นจริงเจ็บจริงของนักแสดงนำเป็นจุดขาย

การโปรโมต โดยเน้นย้ำไปที่ความสามารถของ จา พนม ที่ขณะนั้นเป็นเพียงนักแสดงหน้าใหม่ ถือเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้องค์บากประสบความสำเร็จในประเทศไทย

เพราะผู้ชมส่วนมากที่ตีตั๋วเข้าไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้ มีเหตุผลคือต้องการเข้าไปเห็นฉากแอคชั่นแบบไม่ใช้สตันท์แมน บางคนไม่รู้เนื้อเรื่องของหนังเรื่องนี้ด้วยซ้ำ แต่เดินทางไปชมองค์บากในโรงภาพยนตร์ เพียงเพราะอยากเห็นการแสดงของ จา พนม

มวยไทยคือจุดขาย

ก่อนจะได้พบกับองค์บาก คำว่า “มวยไทย” เป็นเพียงศิลปะการต่อสู้ที่ผู้คนส่วนใหญ่ในโลกตะวันตก นึกภาพไม่ออก

เพราะภาพยนตร์ต่อสู้ส่วนใหญ่จากเอเชีย มักจะเป็นหนังจากอุตสาหกรรมฮ่องกง ศิลปะการต่อสู้ที่ถูกเผยแพร่สู่สายตาผู้ชมจากสหรัฐอเมริกา จึงมักจะเป็นศิลปะที่มีรากฐานจากศิลปะมวยในประเทศจีน

แม้มวยไทยจะมีองค์กรระดับโลกอย่าง สหพันธ์มวยไทยสมัครเล่นนานาชาติ (IFMA) มาตั้งแต่ปี 1993 แต่การก้าวไปสู่สายตาของ “สื่อกระแสหลัก” การเผยแพร่มวยไทยในรูปแบบกีฬาไม่เพียงพอ

จำเป็นต้องใช้สื่อบันเทิงเข้ามาช่วย เหมือนกีฬาคาราเต้ที่โด่งดังในสหรัฐอเมริกา เพราะภาพยนตร์เรื่อง The Karate Kid ที่ออกฉายเมื่อปี 1984

องค์บาก มีสถานะไม่แตกต่างจาก The Karate Kid ภาพยนตร์เรื่องนี้ คือ ใบเบิกทางที่จะนำมวยไทยไปอยู่บนจอภาพยนตร์ระดับโลก โดยบุคคลที่มีส่วนสำคัญในการผลักดัน องค์บาก สู่ระดับโลก คือ ลุค เบซง ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังชาวฝรั่งเศส เจ้าของบริษัท EuropaCorp ที่ก่อนหน้านี้เคยซื้อหนังเรื่อง บางระจัน ไปฉายที่ต่างประเทศมาแล้ว

EuropaCorp ทราบดีว่าจุดขายที่แท้จริงขององค์บากคืออะไร ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงถูกเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “Ong-Bak : Muay Thai Warrior” เมื่อออกฉายในสหรัฐอเมริกา เพื่อดึงดูดผู้ชมที่ต้องการดูศิลปะการต่อสู้แบบมวยไทย และช่วยให้ผู้ชมหน้าใหม่ไม่สับสนว่า สิ่งที่เขากำลังดูอยู่คือเป็นศาสตร์การต่อสู้ประเภทไหน

เมื่อฝ่ายโปรโมตทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสุดความสามารถ งานที่เหลือจึงเป็นหน้าที่ของโปรดักค์ว่าจะมัดใจผู้ชมได้มากแค่ไหน โชคดีที่การแสดงของ จา พนม ในหนังเรื่องนี้ สามารถแสดงความหมายของการต่อสู้แบบมวยไทยได้ตรงตามความต้องการของผู้ชมฝั่งตะวันตก